จดบริษัทแล้ว... ต้องจด VAT เลยไหม? (สำหรับผู้ประกอบการรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาท)
จดบริษัทแล้ว... ต้องจด VAT เลยไหม? (สำหรับผู้ประกอบการรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาท) "จดบริษัทเสร็จแล้ว สบายใจไปเปราะหนึ่ง แต่เอ๊ะ! แล้วฉันจะต้องจด VAT ด้วยรึเปล่า ในเมื่อรายได้ฉันยังไม่ถึง 1.8 ล้านบาทเลย?" นี่คือคำถามสุดคลาสสิกที่ผู้ประกอบการมือใหม่หลายคนต้องเจอ เพราะเรารู้กันดีว่าตามกฎหมาย ถ้าคุณมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ยังไงก็ต้องจด ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือ ภ.พ.20 แต่ถ้ายังไม่ถึงล่ะ? การตัดสินใจ "สมัครใจจด VAT" จะส่งผลดีหรือผลเสียกับธุรกิจของเรากันแน่? เรามาดูกันว่าการตัดสินใจจด VAT หรือไม่จด ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่รายได้ยังไม่ถึงเกณฑ์บังคับ
admin
11/1/2025


หลักการสำคัญ: คำนึงถึง "ลูกค้า" ของเราเป็นหลัก
หัวใจของการตัดสินใจว่าจะจด VAT หรือไม่จด คือการพิจารณาว่า "ลูกค้าส่วนใหญ่" ของเราคือใคร และพฤติกรรมการซื้อของพวกเขาเป็นอย่างไร
กรณีที่ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็น "บริษัท" หรือ "นิติบุคคล" ➡️ ควรจด VAT
ถ้าคู่ค้าหรือลูกค้าหลักของคุณเป็นบริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่มักจะจด VAT อยู่แล้ว และมักจะมองหาใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ดังนี้:
ไม่กระทบต่อราคาซื้อ: บริษัทลูกค้าสามารถนำ "ภาษีซื้อ" (VAT 7% ที่จ่ายให้คุณ) ไปใช้เป็นเครดิตหักออกจาก "ภาษีขาย" ที่พวกเขาต้องนำส่งสรรพากรได้อยู่แล้ว ดังนั้น มูลค่าเพิ่ม 7% ที่คุณบวกเพิ่มเข้าไปในราคาสินค้าหรือบริการ จึงไม่ได้เป็นต้นทุนที่แท้จริงของลูกค้า และไม่ส่งผลกระทบกับการตัดสินใจซื้อมากนัก
เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในสายตาขององค์กรขนาดใหญ่ และทำให้คุณสามารถเข้าร่วมประมูลงานหรือเป็นซัพพลายเออร์ให้กับบริษัทเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น
ข้อดีของการจด VAT ในกรณีนี้:
คุณสามารถขอคืนภาษีซื้อ ที่เกิดจากต้นทุนทางธุรกิจของคุณได้ เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าเช่าสำนักงาน ค่าอุปกรณ์ (ที่มาพร้อมใบกำกับภาษี) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนรวมของคุณลง
เปิดโอกาสในการทำธุรกิจกับลูกค้าองค์กรได้มากขึ้น
การตัดสินใจจด VAT เป็นเรื่องของ กลยุทธ์ทางธุรกิจ ไม่ใช่แค่กฎหมาย หากคุณไม่แน่ใจว่าทางเลือกไหนดีที่สุด อย่าปล่อยให้การตัดสินใจผิดพลาดกระทบกำไร! ให้ W93 ช่วยคุณ วิเคราะห์ประเภทลูกค้าและรายได้ อย่างละเอียด เพื่อให้คุณมั่นใจว่าได้เลือกเส้นทางภาษีที่ ประหยัดและคุ้มค่าที่สุด
กรณีที่ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็น "บุคคลธรรมดา" ทั่วๆ ไป ➡️ ไม่ควรจด VAT (หากไม่จำเป็น)
ถ้าลูกค้าหลักของคุณคือบุคคลทั่วไปที่ซื้อไปใช้เอง การจด VAT จะกลายเป็นภาระและอาจทำให้คุณเสียเปรียบคู่แข่งได้ทันที
ลูกค้าแบกรับภาระภาษีเต็มๆ: บุคคลธรรมดาไม่สามารถนำภาษีซื้อ 7% ที่จ่ายไปมาหักหรือขอคืนได้ ทำให้เขารู้สึกว่าราคาสินค้าหรือบริการสูงขึ้น 7% เต็มๆ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้เขาเลือกซื้อสินค้าจากคู่แข่งที่ยังไม่จด VAT (ซึ่งขายในราคาที่ถูกกว่า 7%)
ตัวอย่าง: ถ้าคู่แข่งขายราคา 100 บาท (ไม่รวม VAT) คุณจะขายราคา 107 บาท (รวม VAT 7%) ลูกค้าจะเปรียบเทียบแค่ 100 บาท กับ 107 บาท
ธุรกิจต้องแบกรับภาระเอง: หากคุณพยายามตั้งราคาให้ "เท่ากับคู่แข่ง" (เช่น ตั้งราคาขายรวม VAT ที่ 100 บาท) นั่นหมายความว่ารายได้จริงของคุณจะเหลือเพียงประมาณ 93.46 บาท (100 / 1.07) ส่วนอีก 6.54 บาท คือ VAT ที่ต้องนำส่งสรรพากร ซึ่งทำให้ กำไร ของคุณลดลงอย่างมาก
ข้อเสียของการจด VAT ในกรณีนี้:
เสียเปรียบทางการแข่งขันด้านราคาในตลาดที่มีคู่แข่งไม่จด VAT
ลูกค้าบุคคลธรรมดาอาจหลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าที่ต้องจ่าย VAT เพิ่ม
💡หน้าที่และภาระที่มาพร้อมกับการจด VAT
ไม่ว่าลูกค้าของคุณจะเป็นใคร การจด VAT หมายถึงภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นซึ่งคุณต้องพร้อมแบกรับ:
การจัดทำบัญชีที่ยุ่งยากขึ้น: ต้องจัดทำ รายงานภาษีซื้อ และ รายงานภาษีขาย เป็นรายเดือน และต้องเก็บเอกสารใบกำกับภาษีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเป็นระบบ
การยื่นแบบ ภ.พ.30 รายเดือน: ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน (แม้ว่าเดือนนั้นจะไม่มีรายได้เลยก็ตาม) ซึ่งต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป




