ควร 'จดบริษัท' ดีไหม? ไขข้อดี-ข้อเสีย ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดา
สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ธุรกิจเริ่มเติบโตและมีรายได้ที่สูงขึ้น คำถามสำคัญที่ต้องตัดสินใจคือ "ถึงเวลาต้องจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดแล้วหรือยัง?" การเปลี่ยนสถานะจากบุคคลธรรมดาเป็นนิติบุคคลนั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนชื่อเรียก แต่มาพร้อมกับภาระและความได้เปรียบที่สำคัญ วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกถึงข้อดีและข้อเสียหลักๆ เพื่อให้คุณนำไปประกอบการตัดสินใจได้อย่างรอบด้านค่ะ
admin
10/21/20251 นาทีอ่าน


✅ 3 ข้อดีสำคัญของการจดบริษัท (การเป็นนิติบุคคล)
1. สร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นคงให้กับธุรกิจ
การเป็น 'บริษัท' สร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือกว่าการเป็น 'บุคคลธรรมดา' โดยเฉพาะในการติดต่อกับลูกค้าที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่:
ชนะใจลูกค้าองค์กรใหญ่: ลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่มักมีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่เข้มงวด และบางแห่งจะไม่พิจารณาจ้าง Vendor ที่เป็นบุคคลธรรมดาเลย
ตรวจสอบข้อมูลได้: ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลที่สำคัญ เช่น สถานที่ตั้ง, กรรมการ, ทุนจดทะเบียน, รวมถึง 'งบการเงินในอดีต' ได้ ซึ่งสร้างความมั่นใจในการทำธุรกิจระยะยาว
2. แยกทรัพย์สินส่วนตัวออกจากทรัพย์สินของกิจการ (จำกัดความรับผิด)
การจดบริษัททำให้กิจการเป็น 'นิติบุคคล' ที่แยกออกจากตัวเจ้าของอย่างชัดเจน หรือที่เรียกว่า "กระเป๋าสตางค์แยกกัน"
จำกัดความรับผิดในหนี้สิน: หากกิจการมีหนี้สินเกิดขึ้น จะถือเป็น 'หนี้สินของบริษัท' ซึ่งความรับผิดชอบของเจ้าของจะจำกัดอยู่แค่ในส่วนของ 'ค่าหุ้นที่ยังชำระไม่ครบ' เท่านั้น
ทรัพย์สินส่วนตัวปลอดภัย: เจ้าหนี้ของบริษัทจะไม่สามารถมาเรียกร้องเอา บ้าน รถ หรือทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของไปชดใช้หนี้ได้
3. โอกาสในการประหยัดภาษี (ในบางกรณีเท่านั้น)
การจดบริษัทจะช่วยประหยัดภาษีได้ ในบางกรณีเท่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของคุณอยู่ในอัตราสูงแล้ว เรามาลองเปรียบเทียบอัตราภาษี:
บุคคลธรรมดา: อัตราภาษีเป็นแบบขั้นบันได และฐานสูงสุดสูงถึง 35%
นิติบุคคล: อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุดอยู่ที่ 20% และหากเป็น SME อัตราภาษีก็จะต่ำลงไปอีก
ดังนั้น หากรายได้บุคคลธรรมดาสูงจนชนเพดาน 35% การเปลี่ยนมาเป็นบริษัทก็จะช่วยประหยัดภาษีได้ชัดเจน
❌ 2 ข้อเสียหลักที่มาพร้อมกับการจดบริษัท
นอกเหนือจากข้อดีแล้ว ผู้ประกอบการต้องตระหนักถึงภาระที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณา
1. ภาระด้านงานธุรการ บัญชี และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
การเป็นนิติบุคคลหมายถึงการเริ่มต้นงาน แอดมิน และ งานเอกสาร ที่ซับซ้อนขึ้นทันที และมาพร้อมกับ ต้นทุนการเงินและเวลา ที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันแรก: ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต้อง จ้างบริษัทบัญชี เพื่อดำเนินการจดทะเบียนบริษัทให้
การทำบัญชีที่เข้มงวด: การลงรายรับรายจ่ายจะทำแบบตามใจไม่ได้แล้ว ต้องเป็นไปตาม มาตรฐานการบันทึกบัญชี และต้องมี เอกสารประกอบการบันทึกบัญชีที่ถูกต้อง เสมอ
การนำส่งรายงานภาษี: แต่ละเดือนต้องนำส่งรายงานภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ภ.ง.ด. 1, 3, 53 และการนำส่งประกันสังคม
ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากจด VAT ด้วย ต้องทำรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขาย ยื่นนำส่ง VAT รายเดือน
ปิดบัญชีปลายปี: ต้องมีค่าใช้จ่ายในการ จ้างผู้สอบบัญชี เข้ามาตรวจสอบและแสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัท
2. ปัญหา 'ภาษีซ้ำซ้อน' ในการนำเงินออกจากบริษัท
เมื่อบริษัทมีกำไร เจ้าของกิจการจะไม่สามารถดึงเงินออกไปใช้ส่วนตัวได้ทันทีโดยไม่มีขั้นตอนใด ๆ วิธีหนึ่งในการนำเงินออกจากบริษัทคือการ จ่ายเงินปันผล ซึ่งอาจทำให้เกิด "ภาษีซ้ำซ้อน"
ภาษีส่วนที่ 1: ภาษีเงินได้นิติบุคคล: ถูกเรียกเก็บจากกำไรก่อนภาษีของบริษัท (สมมติอัตรา 20%)
ภาษีส่วนที่ 2: ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ปันผล): เงินปันผลที่เหลือหลังจากหักภาษีส่วนที่ 1 แล้ว เมื่อบริษัทจ่ายให้เจ้าของ เงินปันผลนั้นจะถือเป็นรายได้ของเจ้าของ จึงถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอีก 10% นี่คือที่มาของภาวะภาษีซ้ำซ้อนที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญ
สรุปและข้อคิด:
การจดบริษัทมีข้อดีที่น่าดึงดูดเรื่องความน่าเชื่อถือและการจำกัดความเสี่ยง แต่แลกมาด้วยภาระงานเอกสารและต้นทุนที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงควรชั่งน้ำหนักว่า รายได้และผลกำไรที่เพิ่มขึ้นนั้น คุ้มค่ากับต้นทุนเวลาและเงินที่จะต้องจ่ายไปกับงานแอดมินและภาษีที่ซับซ้อนขึ้นหรือไม่ ก่อนตัดสินใจก้าวเข้าสู่การเป็นนิติบุคคลอย่างเต็มตัวค่ะ




