5 อย่างที่ผู้ประกอบการมือใหม่มักพลาด แล้วโดนภาษีย้อนหลัง

ผู้ประกอบการมือใหม่โปรดระวัง! 5 ข้อผิดพลาดทางบัญชีและภาษีที่พบบ่อยที่สุด ที่ทำให้คุณ "โดนภาษีย้อนหลัง" แบบไม่ทันตั้งตัว การทำธุรกิจไม่ได้มีแค่เรื่องยอดขาย แต่เรื่องภาษีคือกับดักที่หลายคนมองข้าม หากคุณเป็นเจ้าของ SME หรือ Startup ที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ บทความนี้คือคู่มือฉุกเฉินที่คุณต้องอ่านก่อนจะสายเกินไป

admin

11/2/2025

ผู้ประกอบการก้มหน้าลงกับโต๊ะแสดงถึงความเครียดที่โดนภาษีย้อนหลัง
ผู้ประกอบการก้มหน้าลงกับโต๊ะแสดงถึงความเครียดที่โดนภาษีย้อนหลัง
‼️ข้อผิดพลาดที่ 1: ไม่แยกบัญชีส่วนตัวออกจากบัญชีบริษัท
  • ปัญหาคืออะไร: เจ้าของธุรกิจมือใหม่มักใช้บัญชีธนาคารส่วนตัวในการรับเงินจากลูกค้าและจ่ายค่าใช้จ่ายบริษัท ทำให้บัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัวปะปนกันไปหมด

  • สรรพากรตีความอย่างไร: เมื่อมีการตรวจสอบ สรรพากรไม่มีทางทราบว่าเงินโอนเข้าบัญชีนั้นเป็นเงินที่โอนให้คุณส่วนตัว หรือเป็นรายได้จากการขายสินค้า/บริการของบริษัท จึงมีสิทธิ์ตีความเงินที่เข้าบัญชีทั้งหมดว่าเป็น "รายได้ของบริษัท" และเรียกเก็บภาษีตามยอดรวมทั้งหมด

  • ผลกระทบ: นอกจากงบการเงินจะไม่สะท้อนผลการดำเนินงานที่แท้จริง ผู้ประกอบการยังต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากยอดเงินส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทอีก

  • W93 แนะนำ: ปิดบัญชีใหม่ 100% สำหรับธุรกิจทันที ห้ามนำเงินส่วนตัวมาปนเด็ดขาด หากจำเป็นต้องนำเงินส่วนตัวมาใช้ ให้ทำในรูปแบบ "เงินกู้ยืมจากกรรมการ" ที่มีเอกสารสัญญาชัดเจน

‼️ข้อผิดพลาดที่ 4: กระทบยอดรายได้ไม่ตรงกันระหว่าง ภ.พ.30 กับ ภ.ง.ด.50
  • ปัญหาคืออะไร: รายได้รวมที่นำส่งในแบบ ภ.พ.30 (ภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือน) ไม่เท่ากับรายได้รวมในแบบ ภ.ง.ด.50 (ภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี)

  • สรรพากรตีความอย่างไร: สรรพากรจะสงสัยทันทีว่าบริษัทมี "รายได้อื่นที่ไม่ได้นำส่ง VAT 7%" หรือไม่ (เช่น รายได้จากการขายทรัพย์สินของบริษัท, รายได้ดอกเบี้ย) หากพบว่ายอด ภ.พ.30 ต่ำกว่า ภ.ง.ด.50 อย่างไม่มีเหตุผล จะถูกตรวจสอบอย่างละเอียดและเรียกเก็บภาษี VAT ย้อนหลัง

  • ผลกระทบ: ถูกเรียกเก็บ VAT 7% ย้อนหลัง พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

  • W93 แนะนำ: ต้องมั่นใจว่าได้บันทึกและนำส่ง VAT ครบถ้วนสำหรับรายได้ทุกประเภท (ทั้งรายได้หลักและรายได้อื่น) โดยเฉพาะรายได้จากการขายทรัพย์สินบริษัท

‼️ข้อผิดพลาดที่ 2: กรรมการยืมเงินออกจากบริษัท แบบ "ไม่มีสัญญา" "ไม่มีดอกเบี้ย" และ "ไม่คืน"
  • ปัญหาคืออะไร: กรรมการดึงเงินออกจากบริษัทไปใช้ส่วนตัวแล้วบันทึกเป็น "เงินให้กู้ยืมกรรมการ" โดยไม่มีสัญญาเงินกู้ ไม่มีกำหนดชำระคืน และที่สำคัญ ไม่มีการคิดดอกเบี้ย

  • สรรพากรตีความอย่างไร:

    1. ขาดรายได้ดอกเบี้ย: การให้กู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย ถือว่าบริษัท "ขาดรายได้" ที่ควรจะได้รับ สรรพากรจะประเมินดอกเบี้ยตลาด (Market Rate) เข้ามาเป็น รายได้ของบริษัท และบริษัทต้องนำส่ง ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ภ.ธ.40) จากดอกเบี้ยที่ควรจะได้รับด้วย

    2. รายได้แฝง: หากยอดค้างนานเกินไปและไม่มีเจตนาจะคืน สรรพากรอาจตีความว่าเงินก้อนนั้นไม่ใช่การกู้ยืม แต่เป็น "เงินปันผลแฝง" ที่กรรมการได้รับ แล้วนำเงินก้อนนั้นไปรวมเป็นรายได้ของบริษัทเต็มๆ ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%

  • W93 แนะนำ: ทุกรายการต้องมี สัญญาเงินกู้ที่ชัดเจน และต้องคิด ดอกเบี้ย ตามอัตราตลาดเสมอ เพื่อแสดงเจตนาว่าเป็นการให้กู้ยืมจริง

‼️ข้อผิดพลาดที่ 3: นำใบกำกับภาษีมาใช้ผิดประเภท (ภาษีซื้อต้องห้าม)
  • ปัญหาคืออะไร: การนำค่าใช้จ่ายที่ "ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง" มาใช้เป็นค่าใช้จ่ายบริษัท เช่น ใบเสร็จอาหารมื้อส่วนตัวที่ไม่ได้เลี้ยงลูกค้า, ค่าซ่อมรถยนต์ส่วนตัว, หรือใบกำกับภาษีที่มีชื่อบริษัทคุณแต่ "ซื้อสินค้า/บริการที่ไม่เกี่ยวกับกิจการเลย" (เช่น ซื้อเครื่องประดับ)

  • สรรพากรตีความอย่างไร: รายการเหล่านี้จะถูกตัดเป็น "ค่าใช้จ่ายต้องห้าม" และที่อันตรายกว่าคือ ถูกตัดเป็น "ภาษีซื้อต้องห้าม" (Non-deductible Input VAT) ทำให้บริษัทไม่สามารถนำภาษีซื้อ 7% มาหักออกจากภาษีขายได้

  • ผลกระทบร้ายแรง: บริษัทต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มขึ้นเต็มจำนวน และเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มจากค่าใช้จ่ายที่ถูกปฏิเสธ

  • W93 แนะนำ: ตรวจสอบความเกี่ยวข้องกับกิจการเสมอ และตรวจสอบใบกำกับภาษีให้มี สาระสำคัญครบถ้วน (ชื่อผู้ซื้อ-ผู้ขาย, ที่อยู่, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี, วันที่) ก่อนนำมาบันทึก

‼️ข้อผิดพลาดที่ 5: ละเลยการหักและนำส่ง "ภาษีหัก ณ ที่จ่าย"
  • ปัญหาคืออะไร: ผู้ประกอบการใหม่มักไม่ทราบว่าเมื่อจ่ายค่าบริการบางประเภท (เช่น ค่าเช่า, ค่าจ้างฟรีแลนซ์, ค่าบริการวิชาชีพ) ให้กับบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล มีหน้าที่ต้อง "หัก" ภาษีส่วนหนึ่งไว้ (3%, 5%, 1%, หรือ 10% ตามประเภท) และนำส่งให้กรมสรรพากรด้วยแบบ ภ.ง.ด.3 หรือ ภ.ง.ด.53

  • สรรพากรตีความอย่างไร: บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายในการ "นำส่ง" ภาษีแทนผู้รับเงิน หากบริษัทไม่หักหรือหักไม่ครบถ้วน สรรพากรจะมาเรียกเก็บภาษีส่วนที่ขาดจาก "บริษัท" โดยตรง

  • ผลกระทบ: บริษัทต้องรับผิดชอบจ่ายค่าภาษีที่ไม่ได้หักไว้เองทั้งหมด พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม นอกจากนี้ยังเสียความน่าเชื่อถือต่อผู้รับเงิน (พาร์ทเนอร์/ฟรีแลนซ์) ที่ไม่ได้รับเอกสาร 50 ทวิ ที่ถูกต้อง

  • W93 แนะนำ: ตรวจสอบทุกรายการค่าใช้จ่ายก่อนจ่ายเงิน และออก หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ให้ถูกต้องทุกครั้ง

W93 ช่วยคุณได้อย่างไร

อย่าปล่อยให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกับความเสี่ยงด้านภาษีที่มองไม่เห็น! ปัญหาเหล่านี้อาจดูซับซ้อน แต่สามารถจัดการได้ง่ายๆ หากมีระบบบัญชีที่ถูกต้อง W93 พร้อมเป็น ที่ปรึกษาด้านบัญชีและการเงินครบจบที่เดียว ให้กับ Startup และ SME ของคุณ เราช่วยคุณวางระบบตั้งแต่เริ่มต้น จัดการเอกสารให้ถูกต้อง และวางแผนภาษีเชิงรุก เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าธุรกิจจะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีย้อนหลังอีกต่อไป