3 ภาษีเบื้องต้นที่ Startup SME ทุกคนต้องรู้
การเริ่มต้นธุรกิจไม่ว่าจะเป็น Startup หรือ SME นอกจากการวางแผนธุรกิจและการตลาดแล้ว "ภาษี" คือเรื่องพื้นฐานที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อให้กิจการเติบโตได้อย่างมั่นคงและไม่เสี่ยงต่อการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ภาษีหลักๆ ที่เจ้าของกิจการมือใหม่ควรรู้ มีดังนี้
admin
10/30/2025


1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า VAT เป็นภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่เราซื้อขายกันในประเทศ ไม่ใช่ภาษีที่ผู้ขายต้องแบกรับเอง แต่เป็นภาษีที่...
ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อเป็นคนจ่าย: โดยผู้ขายจะบวกภาษีนี้เพิ่มเข้าไปในราคาขาย
ผู้ประกอบการมีหน้าที่เก็บและนำส่งสรรพากร: ต้องนำส่งภาษีนี้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
อัตราภาษี: ปัจจุบันเรียกเก็บในอัตรา 7%
เงื่อนไขสำคัญ: ผู้ประกอบการที่มี รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จะมีภาระหน้าที่ต้องไป จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจด VAT และจะต้องเริ่มนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ตั้งแต่เดือนที่รายได้เกินเกณฑ์
💡 ข้อควรจำเพิ่มเติม: ประโยชน์ของการวางแผนภาษี
การทำความเข้าใจภาษีทั้ง 3 ประเภทนี้ จะช่วยให้ Startup และ SME สามารถวางแผนบริหารกระแสเงินสดและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างถูกต้องยังช่วยให้ธุรกิจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีต่างๆ ที่รัฐบาลมอบให้สำหรับ SME เช่น การยกเว้นภาษีในช่วงกำไรเริ่มต้น, อัตราภาษีที่ลดลง หรือมาตรการส่งเสริมอื่นๆ อย่ามองว่าภาษีเป็นเพียงภาระ แต่คือส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจที่ต้องจัดการอย่างเป็นระบบค่ะ
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือภาษีที่จัดเก็บจาก กำไรสุทธิ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทำได้ โดยมีอัตราภาษีแตกต่างกันตามขนาดของกิจการ
อัตราปกติ : 20%
SME (ทุนไม่เกิน 5 ล้านและรายได้ไม่เกิน 30 ล้าน)
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ไม่ใช่ภาษีใหม่ แต่เป็นกลไกที่รัฐใช้ในการเก็บภาษีล่วงหน้าก่อนที่เงินได้จะถึงมือผู้รับ เพื่อป้องกันปัญหาว่าผู้มีเงินได้จะนำเงินไปใช้หมดและไม่มีเงินเหลือพอจ่ายภาษีสิ้นปี
หลักการคือ: ผู้จ่ายเงินได้ (เช่น บริษัทของคุณ) มีหน้าที่ หัก ภาษีไว้ส่วนหนึ่ง ณ ตอนที่จ่ายเงิน ให้แก่ผู้รับเงิน
หน้าที่ของผู้จ่ายเงิน: ต้องนำเงินที่หักไว้นั้นไป นำส่งสรรพากร ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป พร้อมยื่นแบบแสดงรายการ (เช่น ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53)
อัตราภาษี: ขึ้นอยู่กับประเภทของเงินได้ที่จ่าย เช่น:
จ่ายเงินเดือนพนักงาน: หักตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
จ่ายค่าบริการ/ค่าจ้างทำของ: หัก 3%
จ่ายค่าเช่า: หัก 5%
ค่าโฆษณา (บางกรณี): หัก 2%
0 - 300,000 : ได้รับการยกเว้น
300,000 - 3,000,000 : 15%
มากกว่า 3,000,000 : 20%
สิ่งสำคัญที่ต้องทำ: นิติบุคคลมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ ภ.ง.ด.51 (กลางปี) และ ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี)




